Before & After Gallery
ฉีดฟิลเลอร์ เติมเต็มใบหน้า
เมื่ออายุมากขึ้น ใบหน้าก็จะเริ่มมีกระบวนการที่เข้าสู่วัยชรา (Facial aging process) ซึ่งยิ่งเวลาผ่านไป อายุที่มากขึ้น ผสมกับแรงโน้มถ่วงของโลก ก็จะทำให้เกิดความเสื่อมของ ผิวหนัง เนื้อเยื่อเกี่ยวพันใต้ผิวหนัง(soft tissue) และส่วนอื่น ๆ ที่ลึกลงไป โดยเราจะพบสิ่งเหล่านี้กับใบหน้าของเรา
- สูญเสียความยืดหยุ่นของผิว (Loss of skin elasticity) จากการที่ collagen ในผิวค่อย ๆ ลดลง
- ปริมาณของชั้นไขมันที่ลดลง (Facial volume reduction) โดยการที่เซลล์ไขมันใต้ผิวหนังค่อย ๆ หายไป มีการกระจายตัวที่เปลี่ยนแปลงไป บางตำแหน่งบางลง บางตำแหน่งหนาขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากแรงโน้มถ่วง
- กระดูกมีการสลายไป (Progressive bone resorption) เมื่อกระดูกมีการเปลี่ยนรูป ก็ทำให้โครงหน้าเปลี่ยนไป และเริ่มดูชรามากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างต่าง ๆ บนใบหน้า
1.การเปลี่ยนแปลงของโครงกระดูก (Skeletal Structure)
- ใบหน้าสั้นลง แต่กว้างมากขึ้น(ทั้งด้านหน้า และด้านข้าง)
- เบ้าตาใหญ่ขึ้น
- กระดูกขากรรไกรบนเล็กลง (maxilla) ทำให้มีร่องแก้มมากขึ้น และไม่มีตัวดันริมฝีปากบน ทำให้มีรอยย่นรอบ ๆ ปากมากขึ้น
- คางยื่น
2.ชั้นไขมันมีการเปลี่ยนแปลง (Subcutaneous Fat Distribution)
- ใบหน้าเด็กจะมีชั้นไขมันที่กระจายตัวสม่ำเสมอ เนียนทั่วกันทั้งใบหน้า เป็นเส้นโค้งสวยงาม
- เส้นโค้ง (arc) ส่วนที่สำคัญมี 3 ตำแหน่งคือ หน้าผาก โหนกแก้มด้านข้าง(ต้องโค้งนูนเชื่อมต่อตั้งแต่เปลือกตาล่างมาถึงแก้ม) และ กราม (เส้นโค้งตั้งแต่ขากรรไกรด้านข้างมาถึงคาง)
- เมื่อสูงอายุ เส้นโค้งที่สวยงามเหล่านี้จะหายไป สาเหตจากการที่ไขมันในบางตำแหน่งหายไป (รอบดวงตา , หน้าผาก , ขมับ , โหนกแก้ม , กราม , คาง , หว่างคิ้ว และรอบปาก)
แผ่นไขมัน (Fat pad) ในตำแหน่งต่าง ๆ ของใบหน้า ที่จะค่อยสลายไป (ตั้งแต่ หมายเลข 1-5)
- แต่มีไขมันในบางตำแหน่งที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ใต้คาง , เนื้อข้าง ๆ ร่องแก้ม , ร่องน้ำหมาก , แก้ม , ถุงใต้ตา และ แผ่นไขมันบริเวณโหนกแก้ม ซึ่งสุดท้ายก็จะมีเนื้อบริเวณแก้มด้านล่าง และร่องแก้มที่มาก และตกลงตามแรงโน้มถ่วง ทำให้เห็นถึงใบหน้าที่หย่อนคล้อย
ดังนั้นในการแก้สาเหตุหนึ่งของใบหน้าที่ดูสูงวัย ให้แลดูเด็กลง ได้รูปมากยิ่งขึ้น Filler จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ เพราะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด โดย fiiler สามารถแก้ปัญหาได้ดังนี้
- ทดแทนไขมันบางส่วนที่หายไปตามเวลา ดังที่กล่าวมาข้างต้น
- ทำให้รูปหน้าสวยงามยิ่งขึ้น มีความโค้งมน ตาม Arc ที่เหมาะสม เหมือนวัยเด็ก
- เป็นตัวช่วยพยุงให้ริ้วรอยต่าง ๆ เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ลดลง
หลังจากนี้เรามาทำความรู้จัก filler กันดีกว่าครับ
นพ.เอกพงศ์ อธิคมชัยวงศ์
Issavee Clinic
Filler Hyaluronic acid injection
การฉีด Filler คือการรักษาที่ช่วยให้ริ้วรอย และร่องลึกให้ดูเนียนเรียบขึ้น สามารถเติมเต็มผิวให้เต่งตึง และอวบอิ่มมากยิ่งขึ้น สารเติมเต็มที่ใช้ในปัจจุบันที่ได้รับการยอมรับทางการแพทย์แล้วว่าปลอดภัยไม่มีผลข้างเคียงระยะยาวคือสารประเภทกรดไฮยารูโรนิค (Restylane®, Juvederm®, EsthelesTM และ Teosyal) ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่แล้วในผิวหนังชั้นลึก เป็นสารอุ้มน้ำที่สำคัญของผิว เมื่อเวลาผ่านไปไฮยารูโรนิคจะมีปริมาณลดลงตามธรรมชาติ ทำให้ผิวของท่านอุ้มน้ำได้ลดน้อยลง ดังนั้นการฉีดสารนี้เข้าไปในปริมาณที่เหมาะสม และถูกตำแหน่งจะช่วยแก้ไขปัญหาความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ สารนี้เป็นสารที่มีอยู่แล้วในร่างกายของมนุษย์จึงไม่มีการแพ้ และไม่จำเป็นต้องทดสอบก่อนการรักษา การฉีดโดยทั่วไปแล้วจะใช้เวลาในการรักษาประมาณ 30 นาที ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ต้องการแก้ไขด้วย
สามารถรักษาได้กับส่วนใด?
ส่วนที่พบว่ามีการรักษาโดยมาก คือ บริเวณ ร่องแก้ม ร่องน้ำตา ริมฝีปาก และริ้วรอยระหว่างปลายจมูกถึงริมฝีปาก โดยสามารถรักษาได้ตั้งแต่ริ้วรอยที่ตื้นไปจนถึงริ้วรอยลึกมากที่ยากต่อการแก้ไข นอกจากนี้แพทย์ยังสามารถให้คำแนะนำแก่ท่านในการใช้สารเติมเต็มนี้เพื่อช่วยในการปรับรูปหน้า ให้ดูเด็กขึ้น และส่วนอื่นๆ ที่ท่านต้องการรักษาได้ เช่น โหนกแก้ม ขมับ เสริมรูปคาง เพื่อเพิ่มให้ใบหน้าดูมีมิติและได้รูปทรงที่สวยงามมากขึ้น
หลังการรักษาจะเป็นอย่างไร?
ภายหลังการรักษา บริเวณที่รับการรักษาอาจมีรอยแดง รอยบวมเล็กน้อย อาจจะรู้สึกนิ่มหรือคันในบริเวณที่ได้รับการรักษา โดยความรู้สึกเหล่านี้จะหายไปในระยะเวลาเพียง 2-3 วัน สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ที่ริมฝีปากนั้น ริมฝีปากของท่านจะบวม และไม่สม่ำเสมอประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นริมฝีปากของท่านจะดูเต่งตึงเป็นปกติ
จะเห็นผลการรักษาเมื่อไหร่?
คุณสามารถเห็นผลการรักษาได้ในทันที
หลังการรักษาต้องดูแลตนเองอย่างไร?
- หลังการรักษา 48 ชั่วโมงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการนวดผิวหรือการทำทรีตเม้นท์ผิวในบริเวณที่ฉีดสารเติมเต็ม หากท่านเข้ารับการฉีดสารเติมเต็มนี้ที่ริมฝีปากเพื่อเพิ่มความอวบอิ่ม ท่านควรหลีกเลี่ยงการย่นริมฝีปากภายในช่วง 2 วันแรกภายหลังการรักษา หรือรอจนกว่ารอยบวม และรอยแดงจะจางหายไป นอกจากนี้ท่านควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสสิ่งที่เย็นจัดหรือร้อนจัดในบริเวณที่ได้รับการรักษาด้วย
- งดการทำทรีตเม้นท์หน้า อบไอน้ำ ซาวน์หน้าอย่างน้อย 2 สัปดาห์
- งดการดื่มสุราแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2 สัปดาห์
- รอยเขียวหรือรอยช้ำสามารถหายได้เองภายใน 7-10 วัน
- ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วต่อวัน เพื่อให้ไฮยาลูโรนิกเกิดการฟูตัวเต็มที่
- ถ้ามีอาการผิดปกติดังต่อไปนี้ ได้แก่ หลังฉีดไปมีอาการปวดมากขึ้นๆ แม้กระทั่งฉีดเสร็จแล้วก็ยังปวดเป็นลำดับมากขึ้นภายใน 24 ชม. หรือ มีอาการเขียวช้ำภายใน 24 ชม.และปริมาณรอยเขียวกว้างขึ้นๆ ภายใน 24 ชม.หลังฉีด เป็นต้น ให้รีบมาพบแพทย์ทันที ห้ามรอจนอาการแย่ลง
- ห้ามทำบริเวณผิวหนังอักเสบ หรือ ติดเชื้อยู่
สารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูโรนิคนี้สามารถเอาออกได้หรือไม่?
สารเติมเต็มประเภทนี้สามารถนำออกได้ในทันที แต่ปกติจะสูญสลายไปเองตามธรรมชาติ หากท่านมีปัญหาจากการฉีดมากเกินไป ท่านสามารถปรึกษา แพทย์เพื่อให้แพทย์แนะนำการฉีดยาละลายสารนี้ได้
เจ็บหรือไม่
ปกติจะมีการฉีดยาชาเฉพาะที่เพื่อลดอาการเจ็บปวด คนไข้จะรู้สึกเพียงช่วงเวลาฉีดยาชา ระหว่างฉีดสารเติมเต็มจะไม่รู้สึกเจ็บ นอกจากนี้ปัจจุบันมีการใช้สารไฮยาลูโรนิคผสมยาชา ทำให้ยิ่งลดความเจ็บปวดในระหว่างการรักษาได้ดีอีกด้วย
ก่อนมารับการรักษาควรงดแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนฉีด เพื่อป้องกันไม่ให้เส้นเลือดขยายตัวมากเกินไป และควรหยุดยาบางชนิด เช่น ยาละลายลิ่มเลือดอย่างน้อย 7 วันก่อนฉีด อาหารเสริมบางชนิด เช่น ใบแป๊ะก๊วย เมล็ดดอกทานตะวัน เป็นต้น ซึ่งก่อนรับการฉีดสารเติมเต็มควรปรึกษาและให้ข้อมูลทางสุขภาพกับแพทย์ผู้ทำการรักษาก่อนทุกครั้ง และถ้ามีประวัติการแพ้ยาชาจำเป็นต้องแจ้งก่อนเสมอ
ใครห้ามฉีดฟิลเลอร์
- ผู้ที่มีประวัติแพ้สาร HYALURONIC ACID
- ผู้ที่ทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด
- ผู้ที่แพ้ยาชา
- ผู้ที่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร
- ผู้ที่มีประวัติเป็นแผลคียลอยด์ง่าย
สิ่งสำคัญที่สุดในการฉีดฟิลเลอร์นั้น ฟิลเลอร์ที่ใช้ต้องปลอดภัยผ่าน FDA หรือ อย. ไทย และฉีดกับผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นซึ่งการฉีดอะไรก็ตามลงบนใบหน้าผู้ฉีดต้องมีความเชี่ยวชาญระดับสูงเนื่องจากกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้ามีเส้นเลือด เส้นประสาทอยู่มาก หากพลาดไปแม้เพียงนิดเดียว เราอาจต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
นพ.อิทธิพัทธ์ อุดมสัจจานันท์
issavee clinic